7 ประเภทกระดาษที่มืออาชีพเลือกใช้ พร้อมวิธีเลือกให้เหมาะกับงานพิมพ์
รู้จัก 7 ประเภทกระดาษยอดนิยม พร้อมวิธีเลือกให้เหมาะกับงานพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ เลือกแบบไหนให้ภาพลักษณ์แบรนด์ดูมืออาชีพ
กระดาษกล่องแป้งคืออะไร? เรียนรู้ถึงความต่าง หลังขาว-หลังเทา พร้อมวิธีเลือกให้เหมาะกับสินค้า และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์
สำหรับเจ้าของแบรนด์ที่กำลังจะผลิตกล่องสินค้า หรือฝ่ายจัดซื้อที่ต้องเลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า กระดาษกล่องแป้ง คือหนึ่งในตัวเลือกที่คุณจะได้ยินบ่อยที่สุด แต่คำถามคือ… มันคืออะไรกันแน่? ต่างจากกระดาษทั่วไปอย่างไร? แล้วแบบ หลังขาว กับ หลังเทา เลือกแบบไหนดีถึงจะคุ้มค่าและเหมาะกับสินค้าของคุณ?
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจทุกมิติของกระดาษกล่องแป้ง ตั้งแต่วัสดุที่ใช้ผลิต ความแตกต่างของแต่ละประเภท ไปจนถึงเทคนิคการเลือกให้เหมาะกับสินค้าและงบประมาณของคุณ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ไม่เสียเงินกับกล่องที่ไม่ตอบโจทย์
กระดาษกล่องแป้ง คือ กระดาษชนิดหนึ่งที่นิยมใช้สำหรับทำกล่องบรรจุภัณฑ์ เช่น กล่องขนม กล่องสบู่ กล่องเครื่องสำอาง และกล่องสินค้าอื่นๆ ที่ต้องการความแข็งแรงควบคู่กับความสวยงาม กระดาษกล่องแป้งมีความพิเศษตรงที่สามารถพิมพ์ลวดลายได้ดี และมีพื้นผิวที่เรียบเนียน เหมาะกับการเพิ่มภาพลักษณ์ให้กับสินค้า
กระดาษกล่องแป้งผลิตจากวัตถุดิบหลักคือเยื่อกระดาษ ซึ่งประกอบด้วย เยื่อบริสุทธิ์ (Virgin Pulp) และ เยื่อรีไซเคิล (Recycled Pulp) ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไปตามเกรดของกระดาษ
กระบวนการผลิตโดยทั่วไปจะมีโครงสร้าง 3 ชั้น
ประเภทของเยื่อและวิธีเคลือบผิวนี้เอง ที่ทำให้กระดาษกล่องแป้งสามารถแบ่งออกเป็นแบบ หลังขาว และ หลังเทา ซึ่งมีผลโดยตรงกับต้นทุน ความสวยงาม และความเหมาะสมในการใช้งานนอกจากนี้ บางเกรดยังสามารถเคลือบเพิ่ม เช่น ลามิเนตเงา/ด้าน หรือ Spot UV เพื่อเพิ่มความพรีเมียมให้กับกล่องอีกด้วย
กระดาษกล่องแป้งในตลาดสามารถแบ่งได้หลากหลายประเภทตาม โครงสร้างพื้นฐาน , ลักษณะผิว และ จุดประสงค์ในการใช้งาน ซึ่งไม่ได้มีแค่ หลังขาว หรือ หลังเทา เท่านั้น แต่ยังมีการพัฒนาเพื่อให้เหมาะกับงานพิมพ์หรือบรรจุภัณฑ์ในระดับต่างๆ ด้วย โดยทั่วไป กระดาษกล่องแป้งสามารถจำแนกได้เป็น 3 ประเภทหลักดังนี้
เป็นกระดาษกล่องแป้งที่มีพื้นหลังเป็นสีเทา ผลิตจากเยื่อรีไซเคิล ด้านหน้าเคลือบขาว เหมาะสำหรับงานทั่วไป เช่น กล่องขนม กล่องอาหาร กล่องสินค้าเบาๆ ที่ไม่ต้องการภาพลักษณ์หรูหรา จุดเด่นคือราคาประหยัดและหาง่ายในท้องตลาด
เหมาะกับ : บรรจุภัณฑ์ที่ต้องการควบคุมต้นทุน / ไม่เน้นการโชว์ด้านใน
มีลักษณะใกล้เคียงกับแบบหลังเทา แต่ด้านหลังก็ผ่านการฟอกให้ขาว ทำให้ดูสะอาดทั้งด้านหน้าและหลัง มักใช้ในสินค้าพรีเมียม หรืองานที่ด้านในกล่องอาจถูกมองเห็น เช่น กล่องฝาเปิด หรือกล่องสินค้าความงาม
เหมาะกับ : กล่องเครื่องสำอาง สกินแคร์ กล่องของขวัญ หรืองานพิมพ์ 2 ด้าน
กล่องแป้งหลังขาวให้ความรู้สึกสะอาดเหมาะกับแบรนด์พรีเมียม แต่ถ้าอยากให้สินค้าดูเรียบ เท่ แนว Sustainable อาจลองดู กระดาษคราฟท์ ที่ให้ความรู้สึกดิบอย่างตั้งใจ
เป็นกระดาษกล่องแป้งที่ผ่านการเคลือบผิวเพิ่มเติม เช่น เคลือบลามิเนตเงา/ด้าน , เคลือบกันน้ำ หรือ เคลือบ UV เพื่อเพิ่มความทนทานและมูลค่าทางสายตา เหมาะกับสินค้าที่ต้องเผชิญความชื้น ต้องการภาพพิมพ์คมชัดสูง หรือเน้นภาพลักษณ์ระดับสูงขึ้นไปอีกขั้น
เหมาะกับ : กล่องใส่อาหารสด , กล่องของขวัญหรู , บรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความคงทนเป็นพิเศษ
การเลือกประเภทของกระดาษกล่องแป้งมีผลอย่างมากต่อความรู้สึกของลูกค้าและภาพลักษณ์ของสินค้า แม้จะดูคล้ายกันในแวบแรก แต่ กระดาษกล่องแป้งหลังขาว และ กระดาษกล่องแป้งหลังเทา มีความแตกต่างกันทั้งในด้านวัสดุ , สี , ความรู้สึกเมื่อมองหรือสัมผัส และราคา
การเข้าใจข้อดี-ข้อเสียของแต่ละแบบจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่ากระดาษกล่องแป้งแบบไหนดีที่สุดสำหรับสินค้าและงบประมาณของคุณ
กระดาษกล่องแป้งหลังขาว คือ กระดาษบรรจุภัณฑ์ประเภทหนึ่งที่มีพื้นผิวด้านหน้าเป็นสีขาวเรียบ (ผ่านการเคลือบเพื่อรองรับการพิมพ์) และ ด้านหลังก็เป็นสีขาวเช่นกัน ทำให้กล่องที่ผลิตจากกระดาษชนิดนี้ดูสะอาดตาทั้งภายนอกและภายใน เหมาะกับงานที่ต้องการความเรียบหรู หรือภาพลักษณ์ที่ดู “พรีเมียม”
โดยทั่วไป กระดาษกล่องแป้งหลังขาวจะผลิตจาก เยื่อกระดาษคุณภาพสูงผสมกับเยื่อรีไซเคิล แล้วผ่านการเคลือบขาวทั้งสองด้าน เพื่อให้พื้นผิวเรียบ เหมาะสำหรับงานพิมพ์สี เช่น พิมพ์โลโก้ ลวดลาย หรือข้อความที่ต้องการความคมชัด
อย่างไรก็ตาม กระดาษชนิดนี้จะมีต้นทุนสูงกว่ากระดาษกล่องแป้งหลังเทาเล็กน้อย หากงบประมาณจำกัด ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างคุณภาพและความคุ้มค่า
กระดาษกล่องแป้งหลังเทา คือกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่มีด้านหน้าสีขาวเรียบเคลือบ (เช่นเดียวกับแบบหลังขาว) แต่ ด้านหลังของกระดาษเป็นสีเทา ซึ่งเป็นผลจากการใช้เยื่อรีไซเคิลเป็นวัตถุดิบหลัก โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการเคลือบหรือฟอกสีในด้านหลัง
แม้ว่าจะมีสีที่ดูธรรมดากว่าแบบหลังขาว แต่กระดาษกล่องแป้งหลังเทาก็ยังเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงมาก เพราะให้ความแข็งแรงในระดับใกล้เคียงกัน แต่ราคาย่อมเยากว่า เหมาะสำหรับธุรกิจที่เน้นการผลิตจำนวนมากในงบประมาณจำกัด
ข้อควรพิจารณาคือ ด้านหลังสีเทาอาจทำให้กล่องดูไม่เรียบหรูเท่ากระดาษหลังขาว และไม่เหมาะกับกล่องที่ต้องเปิดโชว์ด้านใน เช่น กล่องฝาเปิดแบบโชว์สินค้า
คุณสมบัติ | หลังขาว | หลังเทา |
ความเรียบหรู | สูง | ปานกลาง |
ความคมชัดในการพิมพ์ | สูง | สูง |
ด้านหลังดูสะอาด | ใช่ | ไม่ |
ราคา | สูงกว่า | ถูกกว่า |
เหมาะกับสินค้า | สกินแคร์, เครื่องสำอาง | ขนม, ของใช้ทั่วไป |
การเลือกกระดาษกล่องแป้งไม่ควรดูแค่ความสวยหรือราคาเพียงอย่างเดียว แต่ควรมองจากลักษณะสินค้า , พฤติกรรมของผู้ใช้งาน และ “ความรู้สึกที่กล่องจะส่งต่อถึงลูกค้า” ด้วย เพราะในหลายกรณี บรรจุภัณฑ์คือความประทับใจแรกของแบรนด์คุณ
ต่อไปนี้คือแนวทางเลือก กระดาษกล่องแป้งที่เหมาะกับแต่ละกลุ่มสินค้า โดยอิงจากประสบการณ์ของผู้ใช้จริงและแนวทางที่โรงพิมพ์มักแนะนำ
แนะนำ : กระดาษกล่องแป้งหลังเทา / 250–270 แกรม
เหตุผล
เทคนิคเพิ่มเติม
แนะนำ : กระดาษกล่องแป้งหลังขาว / 300–350 แกรม
เหตุผล
เทคนิคเพิ่มเติม
แนะนำ : กระดาษกล่องแป้งหลังขาว / แกรม 300 ขึ้นไป
เหตุผล
เทคนิคเพิ่มเติม
แนะนำ
เหตุผล
เทคนิคเพิ่มเติม
สินค้า | ประเภทกระดาษแนะนำ | แกรมที่เหมาะสม |
ขนม เบเกอรี่ | หลังเทา | 250–270 แกรม |
สกินแคร์/เครื่องสำอาง | หลังขาว | 300–350 แกรม |
กล่องโชว์ ของขวัญ | หลังขาว + เคลือบ | 300 แกรมขึ้นไป |
สินค้ามีน้ำหนัก | หลังขาว / หลังเทา | 300–350 แกรม |
หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของแบรนด์มักเจอเมื่อสั่งผลิตกล่อง คือ “กล่องยุบง่าย ไม่อยู่ทรง” โดยเฉพาะเมื่อใส่สินค้าแล้วเกิดการกดทับหรือพับตัวเอง ปัญหานี้ส่วนใหญ่มาจากการเลือกกระดาษที่ “บางเกินไป” หรือไม่เหมาะกับน้ำหนักของสินค้า
แกรม (GSM) คือ หน่วยที่ใช้วัดความหนาและความหนาแน่นของกระดาษ หน่วยนี้จะบอกได้ว่ากระดาษแต่ละแผ่นมีน้ำหนักเท่าไหร่ในพื้นที่ 1 ตารางเมตร ซึ่งสัมพันธ์กับความแข็งแรงและความคงรูปของกล่องโดยตรง
น้ำหนักสินค้า | แกรมแนะนำ | ตัวอย่างสินค้า |
เบามาก (≤ 100 กรัม) | 250 – 270 แกรม | ขนม เบเกอรี่ ของชำร่วย |
ปานกลาง (100–300 กรัม) | 300 แกรม | สบู่ ครีม กระปุกเล็ก |
ค่อนข้างหนัก (300–500 กรัม) | 300 – 350 แกรม | ขวดครีม ขวดยา อาหารเสริม |
หนักหรือเปราะบาง | 350 แกรมขึ้นไป | ขวดแก้ว สกินแคร์พรีเมียม |
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
การรู้ขนาดกระดาษกล่องแป้งที่นิยมใช้มีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้สามารถวาง Layout การพิมพ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิมพ์ได้หลายกล่องต่อแผ่น ลด Waste และควบคุมต้นทุนต่อกล่องได้ดี
กระดาษกล่องแป้งไม่ว่าจะเป็น หลังขาว หรือ หลังเทา โดยทั่วไปจะมีขนาดแผ่นมาตรฐานจากผู้ผลิตกระดาษ ดังนี้
ประเภทกระดาษ | ขนาดมาตรฐานที่พบบ่อย | หมายเหตุ |
หลังขาว | 25 x 35 , 31 x 43 | ใช้บ่อยกับกล่องพรีเมียม |
หลังเทา | 22 x 33 , 25 x 35 , 31 x 43 | ขึ้นอยู่กับเกรดและผู้ผลิต |
เคลือบพิเศษ | 25 x 35 (ก่อนนำไปเคลือบ) | บางครั้งอาจถูกตัดแต่งตามงานพิเศษ |
วิธีใช้ข้อมูลขนาดกระดาษให้เกิดประโยชน์
ตัวอย่าง : ถ้าคุณใช้ขนาดกล่องที่เลย์เอาต์พอดีกับแผ่น 25×35 นิ้ว แล้วพิมพ์ได้ 8 กล่องต่อแผ่น → ต้นทุนจะถูกกว่าการใช้ขนาดที่พิมพ์ได้แค่ 6 กล่องต่อแผ่น แม้ว่าขนาดกล่องต่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตร
การเลือกกระดาษกล่องแป้งอาจดูเป็นเรื่องเทคนิค แต่ถ้าคุณมี คำถามที่ถูกต้อง และเข้าใจปัจจัยสำคัญ ก็สามารถลดความเสี่ยงเรื่อง “กล่องไม่ตรงสเปก” หรือ “จ่ายแพงโดยไม่จำเป็น” ได้อย่างมาก ต่อไปนี้คือรายการคำถามสำคัญที่ควรถามก่อนสั่งผลิตกล่อง
การมีคำถามเหล่านี้พร้อมก่อนคุยกับซัพพลายเออร์ จะช่วยให้คุณสื่อสารได้ตรงประเด็น ลดความผิดพลาด และมองเห็นต้นทุนแฝงที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า
สำหรับเจ้าของแบรนด์รายย่อยหรือผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจใหม่ งบประมาณมักเป็นข้อจำกัดสำคัญ แต่การประหยัดงบไม่จำเป็นต้องลดคุณภาพเสมอไป หากรู้จักเลือก “ให้เหมาะ” มากกว่า “ให้ดีที่สุดในท้องตลาด” ก็สามารถได้กล่องที่ทั้งดูดีและคุ้มค่า
1. ใช้กระดาษกล่องแป้งหลังเทา แต่เพิ่มลูกเล่นที่งานพิมพ์
2. ลดแกรมลงให้พอเหมาะ (โดยไม่บางเกินไป)
3. ออกแบบขนาดกล่องให้พอดีกับขนาดกระดาษมาตรฐาน
4. ใช้เทคนิคพิมพ์ที่ประหยัดกว่า เช่น เคลือบด้าน แทนลามิเนตเงา
5. สั่งพิมพ์จำนวนที่เหมาะสมกับราคาเฉลี่ยต่อกล่อง
กล่องแป้งเป็นเพียงหนึ่งในหลายประเภทกระดาษที่ใช้กับงานบรรจุภัณฑ์ หากคุณต้องการรู้จักกระดาษทุกชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมนี้ แนะนำดู ภาพรวมทั้งหมดที่นี่
กระดาษกล่องแป้งไม่ใช่แค่กระดาษสำหรับพิมพ์กล่อง แต่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อความรู้สึกของลูกค้าเมื่อเห็นสินค้า การเลือกใช้ “หลังขาว” หรือ “หลังเทา” ต้องพิจารณาทั้งภาพลักษณ์ของแบรนด์ น้ำหนักของสินค้า และงบประมาณที่มี
การเข้าใจเรื่อง แกรม , ประเภทของกระดาษ และ วิธีการเลือก จะช่วยให้เจ้าของแบรนด์ นักออกแบบ หรือฝ่ายจัดซื้อสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจทำให้กล่องออกมาไม่ตรงกับความต้องการ
หากคุณยังลังเลว่าจะใช้กระดาษแบบไหนดี หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญด้านงานพิมพ์บรรจุภัณฑ์ อย่าลังเลที่จะปรึกษาเราก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ได้กล่องที่ทั้งสวย แข็งแรง และเหมาะกับแบรนด์ของคุณที่สุด
ต่างกันในด้านโครงสร้างและวัตถุประสงค์ กระดาษอาร์ตการ์ดมีความหนาและพรีเมียมกว่า มักใช้กับสินค้าไฮเอนด์ ขณะที่กระดาษกล่องแป้งมีความยืดหยุ่นสูงกว่าและต้นทุนต่ำกว่า
รองรับได้ดีมาก โดยเฉพาะด้านหน้าที่เคลือบขาว แต่ด้านหลัง (โดยเฉพาะแบบหลังเทา) ไม่เหมาะกับงานพิมพ์
ควรเลือกกระดาษกล่องแป้งหลังขาว หรืออาจพิจารณาอัปเกรดไปใช้กระดาษอาร์ตการ์ดหน้าเดียว ขึ้นอยู่กับงบและภาพลักษณ์ที่ต้องการ
ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต แต่โดยทั่วไปมีหลายขนาดมาตรฐาน เช่น 25×35 นิ้ว หรือ 31×43 นิ้ว
ดูจากความเรียบของพื้นผิว ความหนาตามจริง ความแน่นของเนื้อกระดาษ การตอบคำถามเชิงเทคนิคจากซัพพลายเออร์ และตัวอย่างงานจริงก่อนตัดสินใจ
คือกระดาษที่ด้านหน้าเคลือบขาวสำหรับพิมพ์ ส่วนด้านหลังเป็นสีเทา นิยมใช้ทำกล่องสินค้าเพราะราคาถูกและใช้งานได้หลากหลาย
คือกระดาษหลายชั้น มีด้านหน้าเคลือบขาวสำหรับพิมพ์ และอีกด้านเป็นสีเทาหรือขาว เหมาะกับงานบรรจุภัณฑ์ทั่วไป
เรียกว่า กระดาษกล่องแป้งหลังเทา หรือ Grey Back Duplex Board ใช้ทำกล่องที่ไม่ต้องโชว์ด้านใน