กระดาษอาร์ตการ์ด คืออะไร? มีกี่ประเภท และเลือกใช้งานอย่าง

กระดาษอาร์ตการ์ด คืออะไร? มีกี่ประเภท และเลือกใช้งานอย่าง

กระดาษอาร์ตการ์ดเป็นกระดาษเคลือบพิเศษที่ให้พื้นผิวเรียบเนียน รองรับงานพิมพ์สีคมชัด มีให้เลือกทั้งแบบ 1 หน้า (C1S) และ 2 หน้า (C2S) เหมาะกับงานพิมพ์คุณภาพสูง เช่น นามบัตร โบรชัวร์ และกล่องบรรจุภัณฑ์

ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ กระดาษอาร์ตการ์ด ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร มีกี่ประเภท และควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับงานพิมพ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นงานบรรจุภัณฑ์ แผ่นพับ หรือสิ่งพิมพ์ที่ต้องการความทนทานและคุณภาพสูง

กระดาษอาร์ตการ์ดพื้นผิวมีลายเส้น เรียบหรู ใช้สำหรับงานพิมพ์คุณภาพสูง

กระดาษอาร์ตการ์ด คืออะไร ทำไมถึงนิยมใช้ในงานพิมพ์?

กระดาษอาร์ตการ์ด (Art Card Paper) เป็นกระดาษที่ผ่านกระบวนการเคลือบผิวเพื่อให้มี พื้นผิวเรียบเนียนและรองรับการพิมพ์สีที่คมชัด ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความละเอียดสูง สีสันสดใส และคุณภาพของภาพที่คงทนยาวนาน เนื้อกระดาษมีความแน่นและมีความหนามากกว่ากระดาษอาร์ตมันและกระดาษอาร์ตด้าน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของงานพิมพ์

กระดาษอาร์ตการ์ดมีช่วงความหนาตั้งแต่ 190-400 แกรม ซึ่งเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความแข็งแรง เช่น บรรจุภัณฑ์ กล่องสินค้า นามบัตร และแผ่นพับคุณภาพสูง โดยความหนาที่มากขึ้นจะช่วยเพิ่มความทนทานต่อแรงกดทับและการพับงอ ทำให้กระดาษชนิดนี้เป็นตัวเลือกยอดนิยมในงานพิมพ์

คุณสมบัติของกระดาษอาร์ตการ์ด

กระดาษอาร์ตการ์ดเป็นหนึ่งในวัสดุที่ได้รับความนิยมสูงในอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ช่วยให้การพิมพ์ออกมาคมชัด สีสดใส และมีความแข็งแรงสูง กระดาษชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้รองรับเทคนิคการพิมพ์หลากหลายรูปแบบ

1. ความหนาแน่นและความแข็งแรงสูง

  • กระดาษอาร์ตการ์ดมี แกรม (GSM – Grams per Square Meter) ตั้งแต่ 190-400 แกรม ทำให้สามารถเลือกใช้ตามลักษณะงานพิมพ์ที่ต้องการ
  • มีโครงสร้างที่แน่นหนา แข็งแรงกว่ากระดาษทั่วไป ช่วยให้กล่องบรรจุภัณฑ์คงรูป ไม่ยับหรือเสียทรงง่าย
  • รองรับ การขึ้นรูปกล่อง (Packaging) และสามารถพับขึ้นโครงสร้างได้โดยไม่แตกหรือฉีกขาด

2. พื้นผิวเรียบเนียน รองรับการพิมพ์สีคุณภาพสูง

  • กระดาษอาร์ตการ์ดผ่านการเคลือบพื้นผิว ทำให้ มีความเรียบเนียนกว่ากระดาษปอนด์หรือกระดาษคราฟท์
  • สามารถรองรับ งานพิมพ์แบบ Offset , Digital และ Inkjet ได้ดี สีพิมพ์ออกมาคมชัด และให้รายละเอียดที่ชัดเจน
  • มีให้เลือกทั้ง กระดาษอาร์ตการ์ดมัน (Glossy) และ กระดาษอาร์ตการ์ดด้าน (Matte) เพื่อให้เหมาะกับลักษณะของงานพิมพ์

3. มีให้เลือกทั้งแบบเคลือบด้านเดียวและสองด้าน

  • กระดาษอาร์ตการ์ด 1 หน้า (C1S – Coated One Side) : มีการเคลือบผิวเพียงด้านเดียว เหมาะกับ กล่องบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการพิมพ์แค่ด้านเดียว หรือการ์ดเชิญที่ต้องการให้ด้านหลังสามารถเขียนข้อความได้
  • กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า (C2S – Coated Two Sides) : เคลือบผิวทั้งสองด้าน เหมาะกับงานพิมพ์ที่ต้องการให้ สีพิมพ์สดใสและคมชัดทั้งสองด้าน เช่น นามบัตร แผ่นพับ

4. รองรับเทคนิคการพิมพ์และการเคลือบพิเศษ

กระดาษอาร์ตการ์ดสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับงานพิมพ์ด้วยการ เคลือบและตกแต่งเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความหรูหราและทนทาน เช่น

  • เคลือบ PVC เงา (Glossy Lamination) – ช่วยให้พื้นผิวเงางาม สีสดใส และเพิ่มความแข็งแรง
  • เคลือบ PVC ด้าน (Matte Lamination) – เพิ่มสัมผัสหรูหรา ลดรอยนิ้วมือ และป้องกันรอยขีดข่วน
  • Spot UV – เคลือบเฉพาะจุด ช่วยให้โลโก้หรือลวดลายโดดเด่นขึ้น
  • ปั๊มฟอยล์ทอง/เงิน (Foil Stamping) – เพิ่มความพรีเมียมให้กับกล่องบรรจุภัณฑ์

5. มีความยืดหยุ่นและทนต่อแรงกดทับ

  • กระดาษอาร์ตการ์ดมีความยืดหยุ่นสูง สามารถพับและขึ้นรูปเป็นกล่องบรรจุภัณฑ์ได้โดยไม่แตกง่าย
  • มีโครงสร้างที่สามารถรองรับแรงกดทับ ช่วยปกป้องสินค้าภายในจากความเสียหาย
  • นิยมใช้กับ บรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความแข็งแรง แต่ยังคงความสวยงามและเรียบเนียน

6. กันความชื้นและเพิ่มอายุการใช้งานได้

คำถามที่หลายคนสงสัย กระดาษอาร์ตการ์ดกันน้ำไหม?

  • กระดาษอาร์ตการ์ดโดยปกติไม่สามารถกันน้ำได้ 100% แต่สามารถเพิ่มคุณสมบัติได้โดยการ เคลือบ PVC หรือเคลือบกันน้ำ
  • เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการ ความคงทนต่อสภาพแวดล้อม เช่น เมนูอาหาร หรือบรรจุภัณฑ์ที่ต้องเก็บไว้ในที่เย็น
  • สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของงานพิมพ์ ให้มีความทนทานมากขึ้นและไม่เสียรูปง่าย

7. เหมาะกับการใช้งานหลากหลายประเภท

  • กล่องบรรจุภัณฑ์ เช่น กล่องเครื่องสำอาง กล่องอาหารเสริม กล่องขนม
  • สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น นามบัตร แผ่นพับ โปสเตอร์ โบรชัวร์
  • ป้ายสินค้าและแท็กสินค้า เช่น ป้ายราคา ป้ายแท็กเสื้อผ้า
  • เมนูอาหารที่ต้องการความทนทาน

แบรนด์ส่วนใหญ่เลือกใช้กระดาษอาร์ตการ์ดเพราะรองรับงานพิมพ์สีเข้มและเคลือบพิเศษได้ดี แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ต้องขนส่งบ่อย คุณอาจพิจารณา กระดาษลูกฟูก ที่ทนแรงกระแทกได้มากกว่า

เปรียบเทียบกระดาษอาร์ตการ์ด 1 หน้า (C1S) และ 2 หน้า (C2S) พร้อมรายละเอียดความหนา

กระดาษอาร์ตการ์ดมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทเหมาะกับงานอะไร?

กระดาษอาร์ตการ์ดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1. C1S (Coated One Side) กระดาษอาร์ตการ์ด 1 หน้า

เป็นกระดาษที่ผ่านการเคลือบเพียงด้านเดียว ทำให้ด้านหน้ามีพื้นผิว เรียบมันเงา รองรับงานพิมพ์สีที่คมชัด ส่วนด้านหลังมีพื้นผิวด้านหรือหยาบเล็กน้อยเพื่อเพิ่มการยึดเกาะและเสริมความแข็งแรง

กระดาษอาร์ตการ์ด 1 หน้า มีช่วงความหนาตั้งแต่ 190-400 แกรม โดยเหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการ พิมพ์เพียงด้านเดียว เช่น กล่องบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการโครงสร้างแข็งแรง กล่องเบเกอรี่ , กล่องสบู่ , กล่องเครื่องสำอาง

2. C2S (Coated Two Sides) กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า

เป็นกระดาษที่ผ่านการเคลือบผิวมันเงาทั้งสองด้าน ทำให้สามารถพิมพ์ได้คมชัดทั้งสองฝั่งและให้สีสันสดใส ความหนาของกระดาษประเภทนี้อยู่ในช่วง 190-360 แกรม โดยที่นิยมใช้มากที่สุดอยู่ระหว่าง 230-260 แกรม

กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้ามีความ แข็งแรงและรองรับการพิมพ์ได้ทั้งสองด้าน เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการให้แสดงข้อมูลหรือภาพกราฟิกได้อย่างสวยงามทั้งสองด้าน เช่น นามบัตร , โปสเตอร์ , แผ่นพับ , เมนูอาหาร

ข้อดี-ข้อเสียของกระดาษอาร์ตการ์ด

ข้อดีของกระดาษอาร์ตการ์ด

  • รองรับการพิมพ์คุณภาพสูง – พื้นผิวเรียบเนียน ทำให้สีพิมพ์สดใส คมชัด และสวยงาม
  • มีหลายขนาดและความหนาให้เลือก – ตั้งแต่ 190-400 แกรม สามารถเลือกให้เหมาะกับการใช้งาน
  • แข็งแรงและทนทาน – มีโครงสร้างที่แน่นหนา ทำให้เหมาะกับบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความแข็งแรง
  • รองรับเทคนิคพิเศษได้หลากหลาย – สามารถเคลือบเงา (Glossy), เคลือบด้าน (Matte), Spot UV, ปั๊มฟอยล์, และปั๊มนูนได้
  • สามารถขึ้นรูปเป็นกล่องบรรจุภัณฑ์ได้ดี – ไม่ฉีกขาดง่ายเมื่อพับหรือขึ้นรูปกล่อง
  • รองรับการใช้งานที่หลากหลาย – ใช้ได้ทั้ง นามบัตร, โบรชัวร์, แผ่นพับ, กล่องบรรจุภัณฑ์, เมนูอาหาร และป้ายแท็กสินค้า
  • สามารถเคลือบกันน้ำได้ – แม้ว่ากระดาษอาร์ตการ์ดไม่กันน้ำโดยธรรมชาติ แต่สามารถเคลือบ PVC เพื่อเพิ่มความทนทานต่อความชื้น

ข้อเสียของกระดาษอาร์ตการ์ด

  • ไม่กันน้ำ 100% – หากไม่ได้เคลือบ PVC หรือเคลือบกันน้ำ อาจเสียหายเมื่อโดนน้ำ
  • มีราคาสูงกว่ากระดาษปกติ – โดยเฉพาะกระดาษอาร์ตการ์ดที่มีแกรมสูง หรือต้องใช้เทคนิคพิเศษในการพิมพ์
  • กระดาษแกรมสูงต้องใช้เครื่องพิมพ์เฉพาะ – กระดาษที่มีความหนามากกว่า 250 แกรมอาจไม่เหมาะกับเครื่องพิมพ์ Inkjet หรือ Laser Printer ทั่วไป
  • น้ำหนักมากกว่ากระดาษประเภทอื่น – ส่งผลต่อต้นทุนค่าขนส่ง โดยเฉพาะงานที่ใช้กระดาษหนา เช่น กล่องบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่
  • ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการพื้นผิวด้านที่เขียนได้ง่าย – หากต้องการเขียนด้วยปากกาลูกลื่นหรือหมึกเจล กระดาษอาร์ตการ์ดอาจไม่เหมาะ เพราะหมึกอาจซึมหรือไม่ติดดี
ความหนาของกระดาษอาร์ตการ์ด ตั้งแต่ 190gsm , 300gsm และ 400gsm พร้อมตัวอย่างการใช้งาน

กระดาษอาร์ตการ์ด มีกี่แกรม?

หลายคนอาจสงสัย กระดาษอาร์ตการ์ดหนาแค่ไหน? กระดาษอาร์ตการ์ดมีหลายระดับความหนา ซึ่งวัดเป็นหน่วย แกรม (GSM – Grams per Square Meter) โดยแกรมของกระดาษอาร์ตการ์ดมีผลต่อ ความแข็งแรง ความหนา และการรองรับงานพิมพ์ ซึ่งการเลือกใช้แกรมที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูงสุด

แกรม (GSM)ความหนาโดยประมาณ (มม.)การใช้งานที่แนะนำ
190-210 แกรม0.20 – 0.25 มม.ใบปลิว , โบรชัวร์ , ปกหนังสือ
230-260 แกรม0.26 – 0.30 มม.นามบัตร , แผ่นพับ , ป้ายแท็กสินค้า
300 แกรม0.32 – 0.38 มม.กล่องเครื่องสำอาง , บรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก
350 แกรม0.40 – 0.45 มม.กล่องอาหารเสริม , กล่องบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความแข็งแรง
400 แกรมขึ้นไป0.50 – 0.55 มม.บรรจุภัณฑ์พรีเมียม , กล่องสินค้าหรูหรา

กระดาษอาร์ตการ์ด ใช้ทําอะไรได้บ้าง?

1. นามบัตร (Business Card)

  • กระดาษอาร์ตการ์ดเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับ นามบัตร เนื่องจากมีความหนาเพียงพอที่จะสร้างความแข็งแรงและรู้สึกพรีเมียม
  • แกรมที่นิยม 210-300 แกรม เพราะช่วยให้ จับถนัดมือ ไม่บางเกินไป และไม่หนาจนเกินไป
  • หากเลือกกระดาษที่บางเกินไป อาจทำให้ ฉีกขาดง่าย หรือเสียรูปเมื่อใส่กระเป๋าสตางค์
  • สามารถเพิ่ม การเคลือบ PVC เงาหรือด้าน เพื่อช่วยป้องกันรอยขีดข่วน และเพิ่มอายุการใช้งาน

ตัวเลือกเพิ่มเติม

  • หากต้องการ พื้นผิวด้านที่สามารถเขียนข้อความได้ อาจเลือก กระดาษการ์ดขาว แทนกระดาษอาร์ตการ์ด

2. กล่องบรรจุภัณฑ์ (Packaging Box)

  • กระดาษอาร์ตการ์ดเป็นกระดาษที่เหมาะสำหรับ กล่องบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการโครงสร้างแข็งแรง
  • แกรมที่นิยม 300-350 แกรม เพราะช่วยให้กล่องคงรูปได้ดี และไม่เสียทรงง่ายเมื่อจัดส่ง
  • หากเลือกใช้กระดาษที่บางเกินไป อาจทำให้กล่อง บุบง่าย หรือฉีกขาดได้ระหว่างขนส่ง
  • การเคลือบเพิ่มเติม ควรเคลือบ PVC เงาหรือด้าน เพื่อช่วยป้องกันรอยขีดข่วนและเพิ่มความแข็งแรงให้กับขอบพับของกล่อง

เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์ประเภท

  • กล่องเครื่องสำอาง เช่น กล่องลิปสติก กล่องครีม
  • กล่องอาหารเสริม เช่น กล่องวิตามิน กล่องโปรตีน
  • กล่องบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก เช่น กล่องของขวัญ หรือกล่องบรรจุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

3. เมนูเครื่องดื่ม เมนูอาหาร (Restaurant Menu)

  • กระดาษอาร์ตการ์ดนิยมใช้สำหรับ เมนูอาหาร เนื่องจากสามารถ กันน้ำและทนทานต่อความเปียก ได้ดี
  • แกรมที่นิยม 250-350 แกรม เพราะมีความแข็งแรงและสามารถวางบนโต๊ะอาหารได้โดยไม่โค้งงอ
  • ควรเลือก การเคลือบลามิเนต PVC ด้านหรือเงา เพื่อป้องกันรอยเปื้อนจากน้ำและอาหาร
  • สามารถพิมพ์แบบ พับครึ่ง หรือทำเป็นเมนูแผ่นแข็ง เพื่อให้ดูพรีเมียมขึ้น

ตัวเลือกเพิ่มเติม

  • หากต้องการความทนทานมากขึ้น สามารถเลือก เคลือบกันน้ำแบบพิเศษ (Waterproof Lamination)

4. แผ่นพับ โปสเตอร์ และโบรชัวร์ (Brochures & Posters)

  • กระดาษอาร์ตการ์ดถูกใช้สำหรับ แผ่นพับและโปสเตอร์ เนื่องจากสามารถพิมพ์สีที่สดใสและให้ความรู้สึกหรูหรา
  • แกรมที่นิยม 190-250 แกรม เพื่อให้สามารถพับได้ง่ายโดยไม่เกิดรอยแตก
  • ควรใช้ กระดาษอาร์ตการ์ด C2S (Coated Two Sides) เพื่อให้สามารถพิมพ์สีคมชัดทั้งสองด้าน

ตัวเลือกเพิ่มเติม

  • หากต้องการให้แผ่นพับมีอายุการใช้งานยาวนาน ควรเคลือบ Spot UV หรือเคลือบเงาเฉพาะจุด เพื่อเพิ่มความโดดเด่น

5. ป้ายแท็กสินค้า (Product Tags & Hang Tags)

  • กระดาษอาร์ตการ์ดนิยมใช้ทำ แท็กสินค้า เช่น ป้ายเสื้อผ้า หรือป้ายสินค้าพรีเมียม
  • แกรมที่นิยม 250-350 แกรม เพราะมีความแข็งแรงและสามารถเจาะรูเพื่อติดสายคล้องได้
  • ควรใช้ การเคลือบด้าน (Matte Lamination) หรือ Spot UV เพื่อให้พื้นผิวดูพรีเมียม

ตัวเลือกเพิ่มเติม

  • หากต้องการให้แท็กสินค้ามีเอกลักษณ์ สามารถใช้ เทคนิคปั๊มนูน (Embossing) หรือปั๊มฟอยล์ทอง (Gold Foil Stamping)

6. ปกหนังสือ และแฟ้มเอกสาร (Book Covers & Folders)

  • กระดาษอาร์ตการ์ดมักใช้สำหรับ ปกหนังสือ แฟ้มเอกสาร และปกนิตยสาร
  • แกรมที่นิยม 250-300 แกรม เพื่อให้ได้ความแข็งแรงพอสำหรับปกที่ต้องการความคงทน
  • ควรใช้ เคลือบ PVC ด้าน (Matte) หรือ เคลือบเงา (Glossy) เพื่อเพิ่มความทนทาน

ตัวเลือกเพิ่มเติม

  • สำหรับปกหนังสือหรือนิตยสารที่ต้องการให้ดูพรีเมียม ควรใช้ Spot UV หรือเคลือบ Soft Touch
ประเภทงานพิมพ์แกรมที่แนะนำการเคลือบแนะนำ
นามบัตร210-300 แกรมเคลือบ PVC เงา/ด้าน
กล่องบรรจุภัณฑ์300-350 แกรมเคลือบ PVC เพื่อกันรอยแตก
เมนูอาหาร250-350 แกรมเคลือบกันน้ำ ลามิเนต PVC
แผ่นพับ/โปสเตอร์190-250 แกรมเคลือบเงา Spot UV
ป้ายแท็กสินค้า250-350 แกรมปั๊มฟอยล์ทอง Spot UV
ปกหนังสือ/แฟ้ม250-300 แกรมเคลือบ Soft Touch หรือ PVC

สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจเลือกกระดาษพิมพ์กล่อง ถ้าอยากเข้าใจทุกตัวเลือก ดู ประเภทกระดาษทั้งหมดพร้อมคำแนะนำวิธีเลือก ได้ในบทความนี้

กระดาษอาร์ตการ์ด ราคา แบ่งเป็น 2 ประเภท

1. กระดาษอาร์ตการ์ดสำเร็จรูป สำหรับใช้งานทั่วไป

กระดาษอาร์ตการ์ดสำเร็จรูป เป็นกระดาษที่บุคคลทั่วไปสามารถซื้อมาใช้งานได้เอง โดยมักขายในรูปแบบ รีม หรือแผ่นสำเร็จรูป ที่รองรับการพิมพ์ผ่านเครื่องพิมพ์ทั่วไป เช่น เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท (Inkjet) และเครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)

ราคาของกระดาษอาร์ตการ์ดสำเร็จรูป

  • ราคาขึ้นอยู่กับ แกรม (GSM) , ขนาดกระดาษ และจำนวนแผ่นในแพ็กเกจ
  • โดยทั่วไป ขนาด A4 (210 × 297 มม.) หรือ A3 (297 × 420 มม.) เป็นขนาดที่นิยมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
  • ตัวอย่างราคาโดยประมาณ
    • 190-210 แกรมประมาณ 200-300 บาท/รีม (100-500 แผ่น ขึ้นอยู่กับแบรนด์และคุณภาพ)
    • 250-300 แกรมประมาณ 300-500 บาท/รีม
    • 350 แกรมขึ้นไปอาจมีราคาสูงกว่า 500 บาท/รีม

การใช้งานที่เหมาะสม

  • นามบัตร DIY → สำหรับผู้ที่ต้องการพิมพ์นามบัตรเอง
  • การ์ดเชิญ การ์ดแต่งงาน ป้ายสินค้า → พิมพ์งานที่ต้องการความคมชัดสูง
  • ใบปลิว โบรชัวร์ แผ่นพับขนาดเล็ก → พิมพ์งานโปรโมทสินค้าในปริมาณน้อย

ข้อจำกัดของกระดาษอาร์ตการ์ดสำเร็จรูป

  • ใช้ได้กับกระดาษแกรมต่ำ (190-250 แกรม) เท่านั้น เครื่องพิมพ์ทั่วไปอาจไม่รองรับกระดาษที่หนากว่า 300 แกรม
  • ไม่รองรับเทคนิคการเคลือบพิเศษ เช่น Spot UV หรือปั๊มฟอยล์
  • ต้นทุนสูงขึ้นต่อแผ่น เมื่อเทียบกับการพิมพ์ในโรงพิมพ์

2. กระดาษอาร์ตการ์ดสำหรับโรงพิมพ์ (เครื่องพิมพ์อุตสาหกรรม)

กระดาษอาร์ตการ์ดที่ใช้ใน โรงพิมพ์เชิงพาณิชย์ จะถูกนำไปผ่านกระบวนการพิมพ์ที่ใช้ เครื่องพิมพ์ออฟเซ็ต (Offset Printing) หรือเครื่องพิมพ์ดิจิตอล (Digital Printing) ซึ่งให้คุณภาพการพิมพ์สูงและรองรับกระดาษที่มีแกรมมากขึ้น

ราคาของกระดาษอาร์ตการ์ดในโรงพิมพ์

  • ราคาขึ้นอยู่กับ ความหนาของกระดาษ (แกรม) , ขนาด , ปริมาณที่สั่งพิมพ์ และเทคนิคพิเศษ
  • โดยทั่วไป โรงพิมพ์จะใช้กระดาษอาร์ตการ์ด 300-400 แกรม ในการผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์และงานพิมพ์ระดับพรีเมียม
  • ตัวอย่างราคาโดยประมาณ (สำหรับงานพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์)
    • 300 แกรม → ประมาณ 5-10 บาท/แผ่น (เมื่อสั่งพิมพ์ในปริมาณมาก)
    • 350 แกรม → ประมาณ 7-15 บาท/แผ่น
    • 400 แกรมขึ้นไป → อาจมีราคาสูงกว่า 15 บาท/แผ่น

เทคนิคพิมพ์ที่ใช้ในโรงพิมพ์

  • Offset Printing → ให้คุณภาพงานพิมพ์สูง คมชัด สีสดใส เหมาะกับงานพิมพ์ปริมาณมาก
  • Digital Printing → เหมาะกับงานพิมพ์จำนวนน้อย หรือพิมพ์แบบปรับเปลี่ยนข้อมูลแต่ละแผ่น (Variable Data Printing)
  • เทคนิคพิเศษ เช่น Spot UV , ปั๊มฟอยล์ทอง/เงิน , ปั๊มนูน (Embossing) , เคลือบ PVC เงาหรือด้าน

การใช้งานที่เหมาะสมในอุตสาหกรรมการพิมพ์

  • กล่องบรรจุภัณฑ์คุณภาพสูง เช่น กล่องเครื่องสำอาง , กล่องอาหารเสริม , กล่องขนม
  • นามบัตรระดับพรีเมียม → เคลือบด้าน , Spot UV , ปั๊มฟอยล์
  • เมนูอาหาร โปสเตอร์ ปกหนังสือ → ต้องการความคงทนและสีสดใส
  • งานพิมพ์โฆษณา ป้ายสินค้า แคตตาล็อก

ข้อดีของการใช้กระดาษอาร์ตการ์ดในโรงพิมพ์

  • ราคาต่อแผ่นถูกลงเมื่อสั่งพิมพ์จำนวนมาก
  • รองรับกระดาษแกรมสูงขึ้น (300-400 แกรม)
  • รองรับเทคนิคพิเศษที่เพิ่มมูลค่าให้กับงานพิมพ์
  • คุณภาพงานพิมพ์ดีกว่าเครื่องพิมพ์ทั่วไป

ข้อจำกัดของกระดาษอาร์ตการ์ดในโรงพิมพ์

  • ต้องสั่งพิมพ์ในปริมาณขั้นต่ำ เพื่อให้ได้ราคาต่อหน่วยที่คุ้มค่า
  • ใช้เวลาในการผลิต เพราะต้องผ่านกระบวนการพิมพ์และเคลือบพิเศษ

ขนาดกระดาษอาร์ตการ์ดที่นิยมใช้ทำกล่องบรรจุภัณฑ์

กระดาษอาร์ตการ์ดเป็นวัสดุหลักที่ใช้ในการผลิต กล่องบรรจุภัณฑ์สินค้า เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถพิมพ์ลวดลายหรือเคลือบเพิ่มเพื่อเพิ่มความพรีเมียมได้ ขนาดของกระดาษที่นิยมใช้สำหรับ งานแพ็กเกจจิ้ง ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 300-350 แกรม ซึ่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันตามประเภทของสินค้าที่ใช้บรรจุ

1. กระดาษอาร์ตการ์ด 300 แกรม

กระดาษอาร์ตการ์ดขนาด 300 แกรม เป็นตัวเลือกมาตรฐานที่นิยมใช้ในการผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความแข็งแรงระดับปานกลาง โดยมีข้อดีดังนี้

คุณสมบัติของกระดาษอาร์ตการ์ด 300 แกรม

  • แข็งแรงเพียงพอสำหรับบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กถึงปานกลาง
  • มีน้ำหนักเบากว่ากระดาษ 350 แกรม จึงช่วยลดต้นทุนค่าขนส่ง
  • รองรับการพิมพ์สีสันสดใสและรายละเอียดสูง
  • สามารถ เคลือบเงา เคลือบด้าน หรือ Spot UV เพื่อเพิ่มความพรีเมียม

การใช้งานที่เหมาะสม

  • กล่องเครื่องสำอาง เช่น กล่องครีม กล่องลิปสติก
  • กล่องอาหารเสริม เช่น กล่องวิตามิน แคปซูล
  • กล่องขนมและเบเกอรี่ เช่น กล่องคุกกี้ กล่องเค้ก
  • กล่องของขวัญขนาดเล็ก

กระดาษ 300 แกรมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับสินค้าน้ำหนักเบา หากต้องการเพิ่มความทนทาน แนะนำให้ เคลือบ PVC ด้าน หรือเคลือบเงา เพื่อลดรอยขีดข่วนและเพิ่มความคงทนของกล่อง

2. กระดาษอาร์ตการ์ด 350 แกรม

กระดาษอาร์ตการ์ดขนาด 350 แกรม มีความหนามากขึ้นกว่ากระดาษ 300 แกรม จึงช่วยให้กล่องมีโครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น เหมาะกับสินค้าที่ต้องการการป้องกันแรงกดหรือการเสียรูปขณะขนส่ง

คุณสมบัติของกระดาษอาร์ตการ์ด 350 แกรม

  • มีความแข็งแรงสูงกว่า 300 แกรม รองรับสินค้าได้ดียิ่งขึ้น
  • คงรูปได้ดีกว่าเมื่อขึ้นเป็นกล่อง ลดปัญหากล่องบุบหรือเสียรูป
  • สามารถเพิ่มเทคนิคการพิมพ์พิเศษ เช่น ปั๊มนูน (Embossing) , ปั๊มฟอยล์ทอง (Gold Foil Stamping)
  • เหมาะสำหรับกล่องที่ต้องการภาพลักษณ์พรีเมียม

การใช้งานที่เหมาะสม

  • กล่องบรรจุภัณฑ์สินค้าพรีเมียม
  • กล่องเครื่องสำอางที่ต้องการเพิ่มความหรูหรา
  • กล่องน้ำหอม หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • กล่องอาหารเสริมระดับพรีเมียม
  • กล่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก เช่น หูฟัง สายชาร์จ
  • กล่องขนมที่ต้องการความคงทนมากขึ้น

สำหรับกระดาษ 350 แกรม การเคลือบที่นิยมใช้คือ เคลือบด้าน (Matte Lamination) หรือเคลือบ Soft Touch เพื่อเพิ่มความพรีเมียมของผลิตภัณฑ์

คุณสมบัติ300 แกรม350 แกรม
ความแข็งแรงปานกลางสูง
น้ำหนักเบาเบากว่าหนักขึ้นเล็กน้อย
รองรับการขึ้นรูปกล่องดีดีมาก คงรูปได้ดี
เหมาะกับสินค้าประเภทกล่องขนาดเล็ก-ปานกลางกล่องสินค้าพรีเมียม กล่องที่ต้องการความทนทานสูง
ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าสูงขึ้นตามความหนา

โรงพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ ราคาถูก สั่งผลิตขั้นต่ำน้อย

  • กระดาษอาร์ตการ์ด 350 แกรม : ขนาดกางออกไม่เกิน A5 จำนวน 1000 ใบ ราคาใบละ 4 บาท
  • กระดาษอาร์ตการ์ด 350 แกรม : ขนาดกางออกไม่เกิน A4 จำนวน 1000 ใบ ราคาใบละ 4.8 บาท
  • กระดาษอาร์ตการ์ด 350 แกรม : ขนาดกางออกไม่เกิน A3 จำนวน 1000 ใบ ราคาใบละ 10 บาท
  • กระดาษอาร์ตการ์ด 300 แกรม : ติดต่อสอบถามที่ฝ่ายขาย

หากคุณกำลังมองหาโรงพิมพ์กล่องผลิตจากกระดาษอาร์ตการ์ด ราคาดี เลือกโรงพิมพ์กล่อง Thaiprintshop ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ที่ให้บริการออกแบบและผลิตกล่องครบวงจร รองรับการพิมพ์บนกระดาษอาร์ตการ์ดทุกขนาด และช่วยให้คุณได้แพ็กเกจจิ้งที่สวยงามและคงทน ตามความต้องการแน่นอน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระดาษอาร์ตการ์ด (FAQ)

1. กระดาษอาร์ตการ์ดหนาแค่ไหน?

มีความหนาตั้งแต่ 190-400 แกรม โดย 300-350 แกรมเป็นขนาดที่นิยมใช้สำหรับกล่องบรรจุภัณฑ์

2. กระดาษอาร์ตการ์ดใช้กับเครื่องพิมพ์อะไรได้บ้าง?

ใช้กับ Offset, Digital, Laser, และ Inkjet ขึ้นอยู่กับความหนาของกระดาษ

3. กระดาษอาร์ตการ์ดกันน้ำไหม?

ไม่กันน้ำ แต่สามารถเคลือบ PVC หรือ Spot UV เพื่อเพิ่มความทนทานต่อความชื้นได้

4. กระดาษอาร์ตการ์ดกับกระดาษแข็งต่างกันยังไง?

กระดาษอาร์ตการ์ดเหมาะกับการพิมพ์สีสดใสและกล่องบรรจุภัณฑ์ ส่วนกระดาษแข็ง (Chipboard) มีความหนาแน่นสูงกว่า ใช้ทำปกหนังสือและกล่องพรีเมียม

5. กระดาษอาร์ตการ์ด กับ อาร์ตมัน ต่างกันยังไง?

กระดาษอาร์ตการ์ดมีความหนามากกว่าและเหมาะกับบรรจุภัณฑ์ ส่วนกระดาษอาร์ตมันบางกว่า (100-160 แกรม) ใช้สำหรับโปสเตอร์และโบรชัวร์